ความพิสดารว่า ภิกษุสองรูป คือพระวินัยธรรูป ๑ พระธรรมกถึกรูป ๑ มีบริวารรูปละ ๕๐๐ ได้อยู่ที่โฆสิตาราม ใกล้เมืองโกสัมพี. วันหนึ่ง ในภิกษุ ๒ รูปนั้น พระธรรมกถึก ไปถาน(ส้วมของพระ) แล้ว เว้นน้ำชำระที่เหลือไว้ในภาชนะ ที่ซุ้มน้ำแล้วก็ออกมา. ภายหลัง พระวินัยธรเข้าไปที่ซุ้มน้ำนั้น เห็นน้ำนั้น ออกมาถามพระธรรมกถึกนอกนี้ว่า “ผู้มีอายุ ท่านเหลือน้ำไว้หรือ?”
พระธรรมกถึกนั้นได้เป็นผู้มีความเห็นอาบัตินั้นว่ามิใช่อาบัติ.
ฝ่ายพระวินัยธรได้บอกแก่พวกนิสิตของตนว่า “พระธรรมกถึกรูปนี้ แม้ต้องอาบัติก็ไม่รู้” พวกนิสิตพระวินัยธรนั้น เห็นพวกนิสิตของพระธรรมกถึกนั้นแล้ว ได้กล่าวว่า “พระอุปัชฌาย์ของพวกท่าน แม้ต้องอาบัติแล้ว ก็ไม่รู้ว่าเป็นอาบัติ” พวกนิสิตของพระธรรมกถึกนั้นไปแจ้งแก่พระอุปัชฌาย์ของตนแล้ว.
พระธรรมกถึกนั้นพูดอย่างนี้ว่า “พระวินัยธรรูปนี้ เมื่อก่อนพูดว่า ‘ไม่เป็นอาบัติ’ เดี๋ยวนี้พูดว่า ‘เป็นอาบัติ,’ พระวินัยธรนั้น พูดมุสา;” พวกนิสิตของพระธรรมกถึกนั้นไปกล่าวว่า “พระอุปัชฌาย์ของพวกท่านพูดมุสา.” พวกนิสิตของพระวินัยธรและพระธรรมกถึกนั้น ทำความทะเลาะกันและกันให้เจริญแล้ว ด้วยประการอย่างนี้.
ภายหลัง พระวินัยธรได้โอกาสแล้ว จึงได้ทำอุกเขปนียกรรม๑- แก่พระธรรมกถึก เพราะโทษที่ไม่เห็นอาบัติ. จำเดิมแต่กาลนั้น แม้พวกอุปัฏฐากผู้ถวายปัจจัยของภิกษุ ๒ รูปนั้น ก็ได้เป็น ๒ ฝ่าย. พวกภิกษุณีผู้รับโอวาทก็ดี พวกอารักขเทวดาก็ดี๒- ของภิกษุ ๒ รูปนั้น พวกอากาสัฏฐเทวดา๓- ผู้เพื่อนเห็น เพื่อนคบของพวกอารักขเทวดาเหล่านั้นก็ดี พวกปุถุชนทั้งปวงก็ดี ได้เป็น ๒ ฝ่ายตลอดจนพรหมโลกก็โกลาหลกึกก้องเป็นเสียงเดียว. ได้ขึ้นไปจนถึงอกนิฏฐภพ.
____________________________
๑- กรรมที่สงฆ์จะพึงทำแก่ภิกษุที่สงฆ์สมควรจะยกเสีย
๒- เทวดาผู้คุ้มครองรักษา
๓- เทวดาผู้สถิตอยู่ในอากาศ